วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลักการแก้ปัญหา[2]

สวัสดีค่ะ เพื่นๆชาวบล็อกทุกคน ^^

การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ


การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการสารสนเทศ

การแก้ปัญหามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของาน วิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งอาจแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ และการแก้ปัญหาอาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น จึงควรยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลงทาง และสับสน วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับงานแตกต่างกันไป ก่อนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะขอยกวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนโดยทั้วไป มาให้พิจารณาดูจำนวนหนึ่ง


1.1 หลักการแก้ปัญหาตามวิธีวิทยาศาสตร์ ( Scientific method ) วิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่มีมานานมากแล้ว ซึ่งใช้ศึกษาค้นคว้าความรู้ใหม่ๆ ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน จนเกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ มากมายอย่างทุกวันนี้ หลักการแก้ปัญหา ทางวิทยาศาสตร์ มีดังนั้
1. เก็บข้อมูลเบื้องต้น โดยการศึกษา สังเกตเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ
2. ตั้งสมมิฐานเกี่ยวกับสาเหตุ แนวความคิด หรือทฤษฎี ของการเกิดปรากฎการณ์และทางการแก้ปัญหา
3. พัฒนาการวิธีการที่จะทดสอบสมมติฐานหรือทฤษฎีตามข้อ 2
4. ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานหรือทฤษฎี โดยตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน อาจมีการตั้งกลุ่มทดลองภายใต้การควบคุม เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ควบคุม ทำการบันทึกผลการทดลองที่สังเกตพบไว้อย่างละเอียดแม่นยำ
5. วิเคราะห์ผลการทดลอง เพื่อหาคำตอบว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้นั้นเป็นจริงหรือไม่
6. เขียนรายงานสรุปผลคำตอบที่ได้ผลที่ได้จากวิธีนี้เป็นที่ยอมรับกันมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่พิสูจน์ได้ เห็นผลชัดเจน และ มีวัตถุประสงค์เด่นชัด แต่ผลที่ได้อาจขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือบางครั้งสำหรับปัญหาง่ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนมากมายเช่นนี้ และปัญหาบางอย่างก็อาจใช้ไม่ได้เลย เพราะทดลองไม่ได้
1.2 หลักการแก้ปัญหาตามวิธีการทางวิศวกรรม ( Engineering problem solving ) วิธีเหมาะกับการแก้ปัญหาในการออกแบบผลิตภัณฑ์ สินคัา หรือเพื่อสร้างสิ่งใหม่หรือเพื่อการแก้ปัญหาในเชิงวิศวกรรม มีขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหา กำหนดรายละเอียดปัญหาให้ชัดเจนเป็นข้อๆ กำหนดความ ต้องการและข้อจำกัดในการแก้ปัญหาเป็นข้อๆวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีข้อมูลใดที่มีอยุ่แล้วและใช้ได้อะไรคือสิ่งที่ยังไม่รู้และต้องการรู้
2. สร้างแบบจำลองวิธีการแก้ปัญหา ( Define model ) อาจเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือบางกรณีต้องสร้างแบบจำลองย่อส่วนจากของจริง คิดค้นหาสูตรสมการที่จะใช้แก้ปัญหา เก็บข้อมูลที่ต้องใช้แก้ปัญหา
3. คำนวณหาคำตอบโดยใช้แบบจำลอง วิธี และสมกาในข้อ 2 ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
4. ผลลัพธ์หรือคำตอบที่ได้มีเหตุผลว่าถูกต้องเหมาะสม จึงนำไปปฏิบัติ
1.3 วิธีการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ ( Creative problem solving ) วิธีนี้เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ใช้แนวคิดแบบสร้างสรรค์ สามารถนำไปใช้งานได้กว้างขวาง ซึ่งมีหลายวิธีเช่นกันในที่นี้ขอยกตัวอย่างวิธีของ Sidney J. Parnessดังนี้
1. ใช้ความสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ คือให้ตื่นตัวตกใจ ใช้ตาดูหูฟัง เพื่อให้มองเห็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และมองเห็นวิธีแก้ปัญหาที่อาจเป็นไปได้
2. ค้นหาความจริง โดยเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ทำการศึกษา ทดลอง หรือทำวิธีใดๆที่เหมาะสม
3. ค้นหาปัญหา เพื่อดูว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร สาเหตุของการเกิดคืออะไร
4. ค้นหาแนวความคิดในการแก้ปัญหา โดยการคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาหลายๆวิธีที่อาจใช้ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปวิธีนั้นวิธีนี้ดีที่สุด ทำการประเมินและปรับปรุงแนวคิดให้ดีขึ้น
5. ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม โดยการกำหนดเกณฑ์ในการเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งจากวิธีที่คิดไว้หลายๆวิธี เช่น เลือวิธีที่เร็ว ราคาถูก และดีเพียงพอกับความต้องการ
6. ค้นหาวิธีการยอมรับวิธีแก้ปัญหาที่เลือกไว้ โดยหาวิธีที่จะทำให้ตนเองและผู้เกี่ยวข้องยอมรับวิธีแก้ปัญหาที่เลือกไว้ร่วมกัน และตกลองแก้ปัญหาด้วยวิธีนั้นข้อเสียของวิธีนี้คือ ไม่กล่าวถึงวิธีการนำไปปฏิบัติ หรือการทดสอบวิธีการแก้ปัญหาที่
เลือกไว้ก่อนนำไปใช้จริง แต่มีจุดเด่นตรงที่ชาวยสรางแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ที่ผู้ใช้เลือกได้โดยอิสระ
1.4 การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนมากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถทำซ้ำได้ง่าย ในกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จำเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นวิธีคล้ายกับการแก้ปัญกาทางวิศวกรรมมาก แต่ในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานใดๆ ก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่ใช้เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหได้ทุกเรื่อง
นอกจากนี้ยังจะต้องมีการศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า ต้องเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับงาน จัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่เกินความจำเป็น
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เหมาะกับระบบงานที่ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งซากและมีปริมาณงานมากหรืองานที่ต้องการความรวดเร็วในการคำนวณเกินกว่าคนธรรมดาจะทำได้ วิธีการโดยทั้วไปคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการหรือระบบการทำงานแบบเดิม มาใช้ระบบงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด เท่าที่สามารถจะทำแทนคนได้
ดังนั้น การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงต้องมีการสร้างระบบงานคอมพิวเตอร์ขึ้นมาช่วยทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการโดยทั้วไป เราอาจไม่ต้องสร้างระบบงานทั้งหมดขึ้นใหม่ แต่พัฒนาระบบงานเดิมให้เป็นระบบงานที่ทำงานโดยคอมพิวเตอร์นิยมเรียกกันว่า การพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์
1.4.1 ขั้นตอนการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ ตามหลักวิชาว่าด้วยการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน ( System analysis and design ) มีการจัดขั้นตอนการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์และสารสนเทศดังนี้
1. วิเคราะห์ระบบงานหรือปัญหา ( System or problem analysis ) รวมถึงรายละเอียดข้อมูลที่ต้องใช้ โดยการศึกษาระบบงานเดิมอย่างละเอียด
2. กำหนดรายละเอียดของความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน ( Require-ments specification )
3. ออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบใหม่
4. ตรวจสอบขั้นตอนวิธีให้ได้ผลตามความต้องการ
5. ออกแบบโปรแกรม ( Program design )
6.เขียนชุดคำสั่ง ( Coding )
7. ทดสอบโปรแกรม ( Testing ) และหาที่ผิดพลาด ( Debuugging )
8. นำโปรแกรมและระบบงานไปใช้งานจริง ( Implementation oroperation )
9. บำรุงรักษา ติดตามผล แก้ไขปรับปรุง ( Software maintenance and improvement ) เพื่อให้ทันสมัยใช้ได้ตลอดไป จะเห็นว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศ จำเป็นจะต้องรู้ขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบเดิม ตามด้วยการหาวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์และโปรแกรม จากนั้นจึงออกแบบวิธีการทำงานในระบบใหม่ให้ระเอียดซึ่งจะต้องมีการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาช่วยทำงานบางส่วน หรือทั้งหมด
1.4.2 ขั้นตอนการพัฒนาระบบงานโดยการจัดซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป ในกรณีที่เราไม่ได้พัฒนาโปรแกรมเอง แต่เป็นการจัดซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน เราอาจปรับเปลี่ยนขั้นตอนมาเป็นดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและระบบงานที่จะทำ ( System or problem analysis ) รวมถึงรายละเอียดข้อมูลที่มีอยุ่
2. กำหนดรายละเอียดของความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน ( Require-ments specification )
3. ออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบใหม่
4. ตรวจสอบขั้นตอนวิธีว่าให้ผลตรงกับที่ต้องการ
5. จัดหาโปรแกรมที่ทำงานตรงตามความต้องการ โดยการซื้อหรือจ้างทำ
6. นำโปรแกรมและระบบงานไปใช้จริง ( Implementation oroperation )
7. บำรุงรักษาระบบ ติดตามผลและแก้ไขปรับปรุง ( Software mainte-mance and improvement )
1.5 เครื่องมือในการวิเคราะห์ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา ในการออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานเพื่อการแก้ปัญหาต่างๆ หรือการเขียนโปรแกรม จำเป็นต้องใช้เครื่องมือบางอย่างช่วยในการออกแบบและวิเคราะห์วิธีการเพื่อให้ง่ายต่อการมองภาพกระบวนการทำงานของระบบ สามารถตรวจสอบหาที่ผิด รวมทั้งหาทางปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมได้ เครื่องมือดังกล่าวที่ง่ายที่สุด ได้แก่ ผังงาน หรือโฟลชาร์ต ( Flowchart ) และรหัสจำลอง ( Pseudo Code )
1.5.1 ผังงาน ( Flowchart ) เป็นเครื่องมือช่วยออกแบบ และวิเคราะห์การทำงานของโปรอกรมแบบรูปภาพขั้นพื้นฐานที่สุด ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการต่างๆ ของระบบงานหรือโปรแกรมได้ง่าย และสามารถตรวจสอบว่าวิธีการนั้น ถูกต้อง มีประสิทธิภาพในการทำงาน และมีความซับซ้อนหรือไม่ ทำให้นำไปเขียนเป็นโปรแกรมได้อย่างถูกต้องซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษากลไกของโปรแกรมอย่างละเอียดรวมทั้งเพื่อเป็นการศึกษาคิดค้นขั้นตอนวิธี( algorithm ) ที่ละเอียดอ่อน และยังจัดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ใหญ่และซับซ้อนมากนัก ผังงานประกอบด้วยสัญลักษณ์
จุดเริ่มต้น / สิ้นสุดของโปรแกรม
ลูกศรแสดงทิศทางการทำงานของโปรแกรมและการไหลของข้อมูล
ใช้แสดงคำสั่งในการประมวลผล หรือการกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปร
แสดงการอ่านข้อมูลจากหน่วยเก็บข้อมูลสำรองเข้าสู่หน่วยความจำหลักภายในเครื่องหรือการแสดง ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมา
การตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อตัดสินใจ โดยจะมีเส้นออกจารรูปเพื่อแสดงทิศทางการทำงานต่อไป เงื่อนไขเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
แสดงผลหรือรายงานที่ถูกสร้างออกมา
แสดงจุดเชื่อมต่อของผังงานภายใน หรือเป็นที่บรรจบของเส้นหลายเส้นที่มาจากหลายทิศทางเพื่อ
จะไปสู่การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน
การขึ้นหน้าใหม่ ในกรณีที่ผังงานมีความยาวเกินกว่าที่จะแสดงพอในหนึ่งหน้า
ปัจจุบันโปรแกรมช่วยเขียนผังงานทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น เช่น SmartDraw ,Microsoft Visio 2002 ซึ่ง
หาข้อมูลและโปรแกรมตัวอย่างได้ที่เว็บไซต์ต่อไปนี้

1.5.2 รหัสลำลอง ( Pseudo Code ) เป็นเครื่องช่วยในการออกแบบระบบงานและโปรแกรมอีกแบบหนึ่ง โดยเขียนขั้นตอนวิธีเป็น ประโยคสั้นๆ กะทัดรัด แต่สื่อความหมายชัดเจน เรียงกันโดยมีหมายเลขกำกับแต่ละขั้นตอน ให้ทำงานตามลำดับหมายเลขและเงื่อนไขที่เขียนไว้ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการออกแบบโปรแกรมให้พิมพ์ตัวเลขจาก 1 ถึง N โดยที N เป็นตัวเลขใด ๆ ก็ได้ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 1 เราอาจเขียนวิธีทำงาน ที่เรียกว่ารหัสจำลองได้ดังนี้
1. ป้อนค่า N จากแป้นพิมพ์
2. กำหนดให้ตัวแปร I เป็นตัวเลขที่จะต้องพิมพ์ เริ่มต้นที่ I = 1
3. พิมพ์ค่า I ที่กระดาษของเครื่องพิมพ์
4. ตรวจสอบว่า I = N แล้วหรือไม่
5. ถ้า I ไม่เท่ากับ N ให้เพิ่มค่า I = I+1 จากนั้นกลับไปทำตามขั้นตอนที่ 3
6. ถ้า I = N แสดงว่างานเสร็จแล้ว จบโปรแกรม
ให้สังเกตขั้นตอนที่ 5 เมื่อทำมาถึงขั้นนี้ และ I ไม่เท่ากับ N เราต้องย้อนกลับไปทำขั้นที่ 3 เรื่อยๆเป็นการวน ( Looping ) จนกว่า I จะเท่ากับ N เมื่อ I = N เราจะลงไปทำขั้นตอนที่ 6 ซึ่งเป็นการจบงาน
สำหรับผู่ผึกจนชำนาญแล้ว อาจเขียนผังงาน หรืออาจใช้รหัสจำลองอย่างเดียวก็ได ้แต่การมองเห็นภาพระบบงานของรหัสจำลองมีน้อยกว่า อาจเข้าใจยากและไม่ค่อยสร้างความประทับใจเวลานำเสนอต่อมวลชน

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ ^^

หลักการแก้ปัญหา

สวัสดีน้ะค้ะ !! เพื่อนๆชาวบล็อกทุกๆคน ครั้งนี้นะค้ะเราจะพาไปเรียนรู้กันว่า คอมพิวเตอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เราบ้างในชีวิตประจำวัน ไปดูเลยค่ะ ^^

ปัญหาชีวิตประจำวันที่ต้องเเก้ด้วยคอมพิวเตอร์

1. ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic machine)
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการบันทึกข้อมูล ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ การจัดเก็บข้อมูลที่บันทึกผ่านทางแป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับให้เป็นรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
2. การทำงานด้วยความเร็วสูง (speed)
เนื่องจากการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำเนินงานต่างๆ จึงสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว (มากกว่าพันล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที)
3. ความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ (accuracy and reliability)
คอมพิวเตอร์จะทำงานตามคำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้ ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้
4. การเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก (storage)
คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่บันทึกเข้าไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้านตัวอักษร
5. การสื่อสารเชื่อมโยงข้อมูล (communication)
คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ และสามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์แบบระบบเดี่ยว ตัวอย่างเช่น การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น (remote computer)
จากคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์เราจะเห็นได้ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆ อย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หรือถ้ามนุษย์ทำได้ ก็จะใช้เวลามากและมีข้อผิดพลาดมากมาย เช่น การคำนวณตัวเลขหลายหลักเป็นจำนวนมากภายในเวลาจำกัด, การทำงานในแบบเดียวกันซ้ำๆ หลายล้านครั้ง หรือการจดจำข้อมูลตัวเลขและตัวหนังสือหลายหมื่นหน้าโดยไม่มีการลืม งานที่น่าเบื่อและยุ่งยากเหล่านี้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนได้ โดยเรามีหน้าที่เพียงเป็นผู้สั่งการเท่านั้น

เหตุผลที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน

1. สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้รวดเร็ว เช่น การใช้เครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar-code) อ่านเวลาเข้า-ออก ของพนักงาน และคิดราคาสินค้า ในห้างสรรพสินค้า
2. สามารถเก็บข้อมูลจำนวนมากๆ ไว้ในฐานข้อมูล (Database) เพื่อใช้งานได้ทันที
3. สามารถนำข้อมูลที่เก็บไว้มาคำนวณทางสถิติ แยกประเภท จัดกลุ่ม ทำรายงานลักษณะต่างๆ ได้ โดยระบบประมวลผลข้อมูล (Data Processing)
4. สามารถส่งข้อมูลจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูล (Data Communication)
5. สามารถจัดทำเอกสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบประมวลผลคำ (Word Processing) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation)
6. การนำมาใช้งานทั้งด้านการศึกษา การวิจัย
7. การใช้งานธุรกิจ งานการเงิน ธนาคาร และงานของภาครัฐต่างๆ เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานบัญชี งานบริหารสำนักงาน งานเอกสาร งานการเงิน การจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ
8. การควบคุมระบบอัตโนมัติต่างๆ เช่น ระบบจราจร, ระบบเปิด/ปิดน้ำของเขื่อน
9. การใช้เพื่องานวิเคราะห์ต่างๆ เช่น การวิเคราะห์สภาวะดินฟ้าอากาศ สภาพของดิน น้ำ เพื่อการเกษตร
10. การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจำลองรูปแบบ เช่น การจำลองในงานวิทยาศาสตร์ จำลองโมเลกุลจำลองรูปแบบ การฝึกขับเครื่องบิน
11. การใช้คอมพิวเตอร์นันทนาการ เช่นการเล่นเกม การดูหนัง ฟังเพลง
12. การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอี่นๆ เทคโนโลยีสื่อสารข้อมูล เกิดเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น



หวังว่าผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของเราจะได้รับความรู้ไปได้ไม่มากก็น้อยน้ะค้ะ
ขอบคุณค่ะ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

นับ 1-10 ในอาเซียน

นับตัวเลขของประเทศในอาเซียน 

สวัสดีค่า บล็อกนี้จะมาพร้อมกับการนับเลย 1 - 10 ของแต่ละประเทศในอาเซียนค่ะ อยากรู้กันรึยังเอ่ยว่าเขานับกันอย่างไร พร้อมแล้วก็ไปเลย



ไทย - หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ 



ลาว - หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ 


เมียนมาร์ - 1.ติ๊ 2. นิ 3.โตง 4.เล 5.งา 6.เช่า 7.ข่น 8.ชิ 9.โก 10.ต๊ะ-เล 



บรูไน - 1.ซาดู 2.ดัว 3.ทิก้า 4.เอ็ทแพท 5.ลิม่า 6.อีนาม 7.ทูจ 8.ลาพัน 9.เซ็มบิลัน 10.เชปูลู 



อินโดนีเซียก็นับเหมือนบรูไนค่ะ - 1.ซาดู 2.ดัว 3.ทิก้า 4.เอ็ทแพท 5.ลิม่า 6.อีนาม 7.ทูจ 8.ลาพัน 9.เซ็มบิลัน 10. เชปูลู 



กัมพูชา - 1.มวย 2.ปี 3.เบ็ย 4.บวน 5.ปรัม 6.ปรัม-มวย 7.ปรัม-ปี 8.ปรัม-เบ้ย 9.ปรัม-บวน 10.ด๊อบ 



เวียดนาม - 1.โหมด 2.ฮาย 3.บา 4.โบ๊น 5.น า 6.เซ๊า 7.ไบ๋ 8.ต้าม 9.ชิ้น 10.เหมื่อย 



มาเลเซียก็จะนับเหมือนบรูไนกับอินโดนีเซียค่ะ - 1.ซาดู 2.ดัว 3.ทิก้า 4.เอ็ทแพท 5.ลิม่า 6.อีนาม 7.ทูจ 8.ลาพัน 9.เซ็มบิลัน 10.เช ปูลู 


สิงคโปร์ - 1.อี 2.เอ้อ 3.ชาน 4.ชื่อ 5.อู่ 6.ลิ่ว 7.ชี 8.ปา 9.จิ่ว 10.ฉือ 



ฟิลิปปินส์ - 1.อิซ่า 2.ดาราวา 3.แท้ทโล่ 4.อะพัต 5.ฉิม่า 6.อะนิม 7.พิโต้ 8.วาโล่ 9.สิแยม
10.ช าปู 

ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.uasean.com/

นี่แหละค่ะคือการนับเลขของแต่ละประเทศในอาเซียน ลองนำไปฝึกนับกันนะค้ะ ต้อนรับอาเซียนค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม ^^


สถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่

สถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้เรานะจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่ ถ้ามีโอกาสก็ลองไปดูกันนะค้ะ เอาล่ะเริ่มเลยยย Let's Go
1.พระบรมธาตุดอยสุเทพ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งของเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานอยู่บนดอยสุเทพ สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง ห่างจากตัวเมืองเก่าประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถมองเห็นจากตัวเมืองได้ชัดเจน
,
2.วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สูงที่สุดของอาณาจักรล้านนา สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1913-1954) ต่อมาพระยาติโลกราชโปรดให้ช่างขยายเจดีย์ให้สูงและกว้างกว่าเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2024 และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน
3.วัดพระสิงห์วรวิหาร อยู่ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง พญาผายูกษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์เม็งรายโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น ในปีพ.ศ. 1888 พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24 ศอกองค์หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิของพญาคำฟู
4.สวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ได้รับการจัดสภาพอย่างดี บริเวณกว้างขวาง มีบรรยากาศร่มรื่น และมีสัตว์อยู่มากกว่า 2,000 ชนิด ทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำเข้ามาจากต่างประเทศ
5.ถนนคนเดินท่าแพ เป็นสถานที่ชอปปิ้งสุดฮิตของเมืองเชียงใหม่ เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ภายในคูเมืองบริเวณถนนราชดำเนิน สินค้าที่นำออกมาวางขายมีมากมายทั้งสินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพสวยๆจาก http://travel.sanook.com/
นี่แค่ส่วนหนึงนะค้ะ น่าไปมากๆเลยค่ะ ถ้าไม่รู้จะไปที่ไหนลองไปดูนะค้ะ สถานที่ท่องเที่ยวเที่ยวในเชียงใหม่  มีอีกเพียบค่ะ 
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนเลยนะค้ะที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บของเรา ^^

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อาหารคลีน

อาหารคลีน

1. สเต็กปลาดอลลี่ 
ปลาดอลลี่หมักเกลือls นำไปย่างบนกระทะเทฟล่อน พอสุก โรยพริกไทยกับรอริกาโน่(ไม่มีไม่ต้องใส่จ้า) พอดีที่บ้านมีเลยใส่เพราะมันหอมดี
กินกับข้าวกล้อง 1-2ทัพพี และผักต้ม

http://pantip.com/

2. ข้าว(ไม่มัน)ไก่
หุงข้าวกล้องกับน้ำซุปผัก  (อันนี้ใส่เห็ดนางฟ้าด้วย พอดีเห็ดออกเยอะ) อกไก่ลอกหนังและไขมันออกให้หมด นำไปต้มหรือนึ่ง  
น้ำจิ้ม เต้าเจี้ยว(ล้างน้ำออกเอาแต่เม็ด) ขิงแก่ พริกขึ้หนู มะนาว น้ำหวานดอกมะพร้าว ซีอิ้วดำ และน้ำเปล่า โขลกรวมกัน ชิมรสตามชอบ
น้ำซุปผัก ต้มน้ำเปล่ากับรากผักชีทุบ หัวไชเท้า ปรุงรสด้วยน้ำปลาls เกลือls ซีอิ้วls 




http://pantip.com/

3. ราดหน้าไก่ ผักรวม
ใช้เส้นหมี่ข้าวกล้อง นำไปลวกพักไว้ ผัดกระเทียมให้หอม (ใช้น้ำมันมะกกอกเสปรย์) ใส่อกไก่ (อกไก่หมักกับซีอิ้วls และไข่ไก่) ลงไปผัดพอสุก ใส่คะน้า แครอท เห็ดหอมแช่น้ำหั่นลงไป
เติมน้ำซุปผัก เต้าเจี้ยว(ล้างน้ำออกเอาแต่เม็ด) ปรุงรสด้วยน้ำปลาls เกลือls ซีอิ้วls เป็นอันเสร็จค่ะ
ตอนปรุงให้ใช้มะนาวแทนน้ำส้มสายชู น้ำหวานดอกมะพร้าวแทนน้ำตาล และพริกป่นนิดหน่อยค่ะ


http://pantip.com/

4. แกงส้มมะละกอกุ้ง
โขลกพริกแกงส้มกับเนื้อปลาต้มสุก ละลายในน้ำเดือด ใส่มะละกอ ปรุงรสด้วยเกลือls น้ำมะขามเปียก และน้ำหวานดอกมะพร้าวนิดหน่อย ชิมให้ได้รสที่ชอบแล้วค่อยใส่กุ้งลงไป เสร็จแล้วค่า 



http://pantip.com/

5. กระเพรากุ้ง
ผัดกระเทียมกับพริกขี้หนู (ใช้น้ำมันมะกกอกเสปรย์) ใส่กุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลาls  ซีอิ้วls พอกุ้งสุกใส่กระเพรา


http://pantip.com/

ง่ายนิดเดียวเองสำหรับอาหารคลีนที่ท่านสามารถทำทานเองได้ที่บ้านค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากพันทิป http://pantip.com/
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม ^^

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเทศในอาเซียน - วัฒนธรรมประเทศลาว

สวัสดีค้าา 
มาพบกันอีกแล้วน้าาา  บล็อกนี้ก็จะมานำเสนอความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประเทศในอาเซียน ซึ่งประเทศที่ยกมาก็คือ ประเทศลาวจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศลาวค่ะ 

วัฒนธรรมประเทศลาว


เครดิต : http://asean.skru.ac.th/symbol

   ลาวมีความคล้ายคลึงกับคนภาคอิสานของไทยเป็นอย่างมาก ยังมีคำกล่าวที่ว่า “ มีลาวอยู่แห่งใด มีมัดหมี่ แลลายจกอยู่ที่นั้น ” ในด้านดนตรี ลาวมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติ มีหมอขับ หมอลำ ลาวมีประเพณีทางพระพุทธศาสนาและอื่นๆ เช่น วันมาฆบูชา วันสงกรานต์ วันออกพรรษา บุญเข้าประดับดิน บุญเข้าฉลาก บุญส่วงเฮือ (แข่งเรือ) บุญธาตุหลวงเวียงจันทน์ ในเดือน 12 เป็นต้น 
   วัฒนธรรมและลักษณะประจำชาติ มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญ อดทน รักอิสระเสรี รักหมู่คณะ ไม่ชอบการเบียดเบียนข่มเหง เป็นชาติที่รักสงบ มีความเคารพนับถือในบรรพบุรุษ นับถืออาวุโสทางอายุเป็นเกณฑ์สำคัญ มีอิสระในการเลือกคู่ครอง และมักจะศึกษาจิตใจกันก่อน ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ เช่นเดียวกับชาวไทยทั่วไป

ประเพณี
จะยกตัวอย่างมาหนึ่งประเพณี คือ ประเพณีบุญข้าวจี่


เครดิต : http://www.lampangvc.ac.th/lvcasean/page_laos3.html

เดือนสาม            บุญข้าวจี่
ช่วงที่จัด             หลังงานมาฆบูชา
ลักษณะงาน        ชาวนาจะนำข้าวจี่ (ข้าวเหนียว) นึ่งสุก ปั้นเป็นก้อนเท่าไข่เป็ดทาเกลือ นำไปเสียบไม้ย่าง จากนั้นตีไข่ทาให้ทั่วแล้วย่างจนไข่สุก และถอดไม้ออกนำน้ำตาลอ้อยยัดใส่ตรงกลางเป็นไส้ นำไปถวายพระสงฆ์ในช่วงที่หมดฤดูทำนาแล้ว เพื่อเป็นการทำบุญ

การแต่งกาย 


เครดิต : https://sites.google.com/site/mnmasean/chud-praca-chati-law

ผู้หญิง นุ่ง Patoi (มีลักษณะคล้ายผ้านุ่งของไทย) นิยมทำเป็นลายทาง ๆ เชิงผ้าเป็น สีแดงแก่ หรือน้ำตาลเข้ม ถ้าผ้านุ่งเป็นไหม เชิงก็จะเป็นไหมด้วย มักจะทอทองและเงินแทรกเข้าไป ไว้ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้
ผู้ชาย นุ่ง Patoi เป็นการนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชิ้น นอก กระดุมเจ็ดเม็ด

ที่อยู่อาศัย  



บ้านเป็นหลังคาทรงแหลมชะลูด ยกพื้น สร้างด้วยไม้

อาหารการกิน  

 

ครดิต
http://static.flickr.com/42/91846693_de596db529_o.jpg
http://www.in1guide.com/index.php?topic=188.0

อาหารลาวหลายอย่างจะคล้ายอาหารอีสานของประเทศไทยเรา โดยทั่วไปแล้วอาหารลาวรสชาติมักไม่ค่อยจัดจ้าน มีรสธรรมชาติมาก เครื่องปรุงรสแต่เดิมใช้เกลือเพียงอย่างเดียว มาปัจจุบันชาวลาวทั้งประเทศนิยมใช้ผงชูรส (คนลาวเรียก แป้งนัว)กันมากขึ้น ถึงขนาดร้านอาหารหลายร้านต้องมีกระปุกผงชูรสไว้บนโต๊ะกันเลยทีเดียว อาหารหลักคือ ข้าวเหนียวและลาบ เช่นเดียวกับชาวอีสานของไทย

การดนตรี 






เครดิต 
                    http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/sarakam03.jpg             
http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570525-aec7.jpg


 ดนตรีพื้นบ้านของลาวเรียกว่าลำ ซึ่งเป็นการขับร้องประกอบแคน ดนตรีคลาสสิกของลาวแบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือเสบใหญ่ และเสบน้อยหรือมโหรี เสบใหญ่ประกอบด้วยระนาด ปี่ กลอง และฉิ่ง 
 เครื่องดนตรีประจำภาคคือ แคน และการแสดงคือ หมอลำแคน ส่วนการฟ้อนรำและดนตรีส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากไทย
ภาษา

ภาษาทางราชการคือ ภาษาลาว สำหรับภาษาฝรั่งเศสยังคงมีใช้อยู่ทั่วไป แต่ไม่ถือว่าเป็นภาษาทางราชการ รัฐบาลได้ทำการฟื้นฟูภาษาลาว และตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงภาษาลาว ออกอากาศไปทั่วโลก
ภาษาพูดประจำชาติลาว แม้จะสามารถพูดกันเข้าใจได้ทั่วประเทศ แต่สำเนียงการพูดแตกต่างกันไปตามแต่ละภาค ทำให้รู้ได้ว่าผู้พูดเป็นคนภาคใด กล่าวคือ  คนลาวทางหลวงพระบาง มีสำเนียงพูดคล้ายคนไทยทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ คนลาวตั้งแต่เวียงจันทน์จนถึงสีทันดอน มีสำเนียงพูดคล้ายคนไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับชาวเผ่าต่าง ๆ ใช้ภาษาของตนเอง ต่างไปจากภาษาลาว เช่น ภาษาแม้ว เย้า ย้อ อีก้อ เป็นต้น

ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ค่ะ

# ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ  ^^

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โรงเรียนที่รัก ชื่อย่อ ส.อ. ❤❤

   สวัสดีค่ะ  มาเจอกันอีกแล้วนะ บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกที่ 3 แล้วสิ 
   ครั้งนี้จะมารีวิวโรงเรียนของเราเอง ซึ่งโรงเรียนเรานั้นก็มีชื่อว่า โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ (ส.อ.)  ซึ่งเราก็เรียนมาตั้งแต่ ม.1 จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็ ม.4 แล้ว
เอาล่ะมาเริ่มกันเลยนะ 

ประวัติโรงเรียน


เครดิต : เว็บโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์

โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ เดิมชื่อ "โรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์" ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2537 ในสมัยของท่านอธิบดีบรรจง พงศ์ศาสตร์ อธิบดีกรมสามัญศึกษาในขณะนั้น ด้วยความริเริ่มของท่านผู้อำนวยการบรรจบ เสริมทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิในขณะนั้น เนื่องจากโรงเรียนบางกะปิมีนักเรียนเข้าศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก สถานที่ของโรงเรียนไม่เพียงพอที่จะรองรับนักเรียนได้ทั้งหมด อีกทั้งในเขตชุมชนละแวกคลองกุ่ม บุตรหลานที่เข้าศึกษาต่อโรงเรียนมัธยมศึกษาต้องเดินทางลำบากในการไปโรงเรียนซึ่งห่างไกลจากชุมชนนั้นมาก จึงได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งโรงเรียนบางกะปิสาขาขึ้น เริ่มทำการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2537 โดยในช่วงแรกยังอาศัยอยู่ในพื้นที่โรงเรียนบางกะปิ และท่านผู้อำนวยการศิริลักษณ์ นันทพิศาล ผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิท่านต่อมา ได้เล็งเห็นว่าพื้นที่ของโรงเรียนบางกะปิไม่เหมาะสมที่จะสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนบางกะปิสาขาได้อีก จึงได้ดำเนินการหาที่ดินเพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนบางกะปิสาขา ในบริเวณเขตบางกะปิจำนวนหลายราย
ในที่สุด ดร.สุขุม และคุณเมธ์วดี นวพันธ์ ท่านได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงได้บริจาคที่ดินจำนวน 7 ไร่ ตั้งอยู่หลังสำนักงานเขตบึงกุ่ม และได้ดำเนินการออกโฉนดเสร็จสิ้นใน พ.ศ. 2540 และกรมสามัญศึกษาได้จัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียนชั่วคราวถอดประกอบได้ จำนวน 4 หลัง 12 ห้องเรียน ปลูกในพื้นที่โรงเรียนบางกะปิ ต่อมาท่านผู้อำนวยการแคล้ว ทัศนพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิ ได้ประสานจัดอัตราครูจำนวน 12 อัตรา ให้กับโรงเรียนบางกะปิสาขา และเริ่มจัดนักเรียนในระดับชั้น ม.1-3 ระดับชั้นละ 3 ห้องเรียน ในปีการศึกษา 2538
ต่อมากระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 โดยแต่งตั้งนางมานี ขำเพ็ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิ เป็นผู้บริหารโรงเรียนคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 กรมสามัญศึกษา ได้แต่งตั้ง นางกานดา สุขทุม ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิตบางแคปานขำ รักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ และได้รับจัดสรรอาคารชั่วคราวกึ่งถาวร 1 หลัง จำนวน 4 ห้องเรียน พร้อมโต๊ะและเก้าอี้ ครู และนักเรียน ได้ดำเนินการจัดสร้างในที่ดินของโรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ หลังสำนักงานเขตบึงกุ่ม แต่เนื่องจากสถานที่ยังไม่เอื้ออำนวยในการจัดการเรียนการสอน จึงยังคงอาศัยอยู่ในโรงเรียนบางกะปิ และในปีงบประมาณ 2542 โรงเรียนได้รับงบประมาณ 69.2 ล้านบาท สำหรับสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 8 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน แล้วเสร็จในต้นปี พ.ศ. 2544
ต่อมากรมสามัญศึกษา ได้แต่งตั้งให้ นางสุกัญญา ภู่พันธาภักดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่าช้างวิทยาคม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ ขณะที่ยังใช้อาคารเรียนร่วมกันกับโรงเรียนบางกะปิ ต่อมาในปีการศึกษา 2544 ได้ย้ายมาทำการเรียนการสอนในพื้นที่ปัจจุบัน และดำเนินการรับสมัครนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 สถานที่แห่งใหม่ตั้งอยู่เลขที่ 818 หมู่ 4 ถนนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร โรงเรียนได้ดำเนินการบริหารจัดการเรียนการสอนจนเป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง ชุมชน และท่านผู้อุปถัมภ์โรงเรียน และได้ผ่านการประเมินภายนอก รอบแรก จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ "หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน"
ปีการศึกษา 2546 ท่าน ดร.สุขุม นวพันธ์ ผู้อุปถัมภ์โรงเรียน มีความชื่นชมและเห็นความก้าวหน้าของโรงเรียนอย่างต่อเนื่องท่านได้ บริจาคที่ดินเพิ่มเติมจำนวน 3 ไร่ รวมเป็น 10 ไร่ และในปี พ.ศ. 2547 ท่าน ดร.สุขุม และคุณเมธ์วดี นวพันธ์ ได้บริจาคเงินเพื่อสบทบการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ 5 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน จำนวน 12.7 ล้านบาท ร่วมกับงบประมาณที่โรงเรียนได้รับจัดสรรเป็นงบผูกพันปีงบประมาณ 2548 จำนวน 25.6 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นห้องประชุม ห้องเรียน และโรงอาหาร
ในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แต่งตั้งให้ นายโชว์นันต์ มารุตวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบางกะปิสุขมนวพันธ์อุปถัมภ์เป็นคนที่ 4 ในปี พ.ศ. 2547 โรงเรียนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในปีการศึกษา 2548 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โรงเรียนได้รับการประเมินจากคณะกรรมการโรงเรียนในฝัน ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบและแกนนำโรงเรียนในฝัน โรงเรียนได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (การใช้โปรแกรม GSP) ของเขตตรวจราชการส่วนกลางกรุงเทพมหานคร และได้รับการประเมินภายนอก รอบ 2 จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ "ดีมาก"
ในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนจากโรงเรียนบางกะปิสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ เป็น โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านผู้อุปถัมภ์โรงเรียน ดร.สุขุม และคุณเมธ์วดี นวพันธ์ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารโรงเรียน อันเนื่องมาจากชื่อโรงเรียนพ้องกันกับโรงเรียนอื่น ในสมัย ฯพณฯ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ได้แต่งตั้งนายจำลอง เชยอักษร ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ ทำให้โรงเรียนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ของโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในปีการศึกษา 2551 โรงเรียนได้รับรางวัลเกียรติคุณสัญญาธรรมศักดิ์ และภายใต้การนำของ นายจำลอง เชยอักษร ผู้อำนวยการโรงเรียน ทำให้โรงเรียนได้รับพระราชทานรางวัลโรงเรียนรางวัลพระราชทาน ประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปี 2551 จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวราชพฤกษ์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้แต่งตั้งให้ นางสุกัญญา ชำนาญศิลป์ รองผู้อำนวยการโรงเรียน ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหม่ เนื่องด้วย นายจำลอง เชยอักษร อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ ได้เกษียณอายุราชการ
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้แต่งตั้งให้ นางอัปษร ปานประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ โรงเรียนได้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ต่างๆ ภายในบริเวณโรงเรียนให้เหมาะแก่การเรียนรู้ของนักเรียน
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้แต่งตั้งให้ นายวีระ เจนชัย รองผู้อำนวยการโรงเรียน ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียน เนื่องด้วยนางอัปษร ปานประเสริฐ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ ได้เกษียณอายุราชการ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง นายเกษม สมภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ ขอนแก่น มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ โรงเรียนได้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนชุมชนใกล้เคียง และโรงเรียนได้รับการประเมินภายนอก รอบ 3 จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ "ดี"
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2557 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ นายเกษม สมภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนศรีพฤฒา พร้อมกันนี้ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายวีระ เจนชัย รองผู้อำนวยการโรงเรียน ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหม่ และในวันที่ 13 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้มีคำสั่งให้ นายวีระ เจนชัย รองผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน ย้ายไปดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 จึงได้แต่งตั้งให้ นางปรียานุช สำเนียงสูง รองผู้อำนวยการโรงเรียน ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน
        เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558  ผู้อำนวยศิริ จิตตะวนิชได้รับการแต่งตั้งให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ จากโรงเรียนบางกะปิ
       ผู้อำนวยการคนปัจจุบันชื่อ นายเผด็จ อุุมสกุลรัตน์ 

เกียรติประวัติโรงเรียน
ปี พ.ศ. 2546 ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ "หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน"
ปี พ.ศ. 2547 ได้รับแต่งตั้งเป็นศูนย์การเรียนคณิตศาสตร์ (GSP) โรงเรียนในฝันเขตตรวจราชการส่วนกลางกรุงเทพมหานครและได้รับรางวัลโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ "ระดับทอง" กระทรวงสาธารณสุข
ปี พ.ศ. 2548 ผ่านการประเมินตามโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน "ต้นแบบ แกนนำ"
ปี พ.ศ. 2549 โรงเรียนผ่านการประเมินภายนอก(สมศ.) รอบ 2 "ระดับดีมาก"
ปี พ.ศ. 2551 ได้รับรางวัลเกียรติคุณสัญญาธรรมศักดิ์ ประจำปี 2551
ปี พ.ศ. 2551 ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน มัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปี 2551

ข้อมูลพื้นฐาน


ตราสัญลักษณ์โรงเรียน : อักษร  ภายในทิศทั้งหมด รองรับด้วยแพรแถบชื่อโรงเรียน

เครดิต : เว็บโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์


อักษรย่อ : ส.อ.
ชื่อภาษาอังกฤษ : SUKUM NAVAPAN UPPATHAM
พระพุทธรูปประจำโรงเรียน : พระพุทธชัยวัฒนคุะเกษมมงคลบพิตร




สีประจำโรงเรียน : เขียวและเหลืองทอง
ดอกไม้ประจำโรงเรียน : ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์


เครดิต : เว็บโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์

ปรัชญาของโรงเรียน : สุโข ปัญญา ปฏิลาโภ - ความได้ปัญญา ทำให้เกิดสุข
คำขวัญ : ประพฤติดี มีคุณธรรม นำวิชาการ
อัตลักษณ์ของโรงเรียน : คนดีมีน้ำใจ 
วิสัยทัศน์ : เป็นสถานศึกษาชั้นนำ เลิศคุณธรรม นำวิชาการ ตามมาตรฐานสากล 
บนวิถีไทย โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
คณะสีนักเรียน : คณะจักรี - สีม่วง   คณะสุรสีห์ - สีชมพู
คณะเทพกษัตริย์ - สีแดง   คณะสุริโยทัย - สีแสด   คณะสุรนารี - สีฟ้า
ที่ตั้งโรงเรียน : 818 ซอยเสรีไทย 43 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม 
กรุงเทพมหานคร 10240
เว็บไซต์โรงเรียน : www.sukum.ac.th
  
ผู้อุปถัมภ์โรงเรียน

เครดิต : เว็บโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์

ผู้อำนวยการโรงเรียน

เครดิต : เว็บโรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์

ต่อไปจะเป็นสถานที่ต่างๆภายในโรงเรียน 
ไปดูกันเลยยย ^^

อาคาร 1 มีทั้งหมด 8 ชั้น
โดยจะนับจากลานจอดรถเป็นชั้น 1
อาคาร 1 นี้จะประกอบไปด้วยห้องต่างๆ ดังนี้
ชั้น 2
- ห้องกิจการพัฒนาผู้เรียน
- ห้องประชุมราชพฤกษ์
- ห้องกลุ่มบริหารงานบุคคล
- ห้องพยาบาล
- ห้องงานประชาสัมพันธ์
- ห้องกลุ่มบริหารวิชาการ
ชั้น 3
- ห้องคอมพิวเตอร์
- ห้องสมุด
-ห้องกลุ่มบริหารงบประมาณ
ชั้น 4 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ฯ
- ห้องแนะแนว
ชั้น 5 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระภาษาไทย
ชั้น 6 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ
- ศูนย์ภาษาจีน
ฃั้น 7 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์
และ ชั้น 8 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์


ทางเดิน ทางเข้าโรงเรียน


 ทางขึ้น อาคาร จะมี 3 ทาง

 ชั้น 2

 ห้องสมุดจะอยู่ชั้น 3


 ห้องเรียน จะมีตั้งแต่ชั้น 4 - ชั้น 7



อาคารเมธ์วดี เป็นตึกกลุ่มสาระ พลศึกษา
จะอยู่ข้างๆกับอาคาร 1 (ฝั่งขวามือ) ถ้าหันหน้าเข้าอาคาร


อาคาร 2  มีทั้งหมด 5 ชั้น
จะนับจากลานจอดรถเป็นชั้น 1 เช่นกัน
อาคาร 2 จะประกอบไปด้วย
ชั้น 2 โรงอาหาร
ชั้น 3 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระการงานอาชีพ ฯ
- สำนักงานบริหารทั่วไป
ชั้น 4 จะเป็นชั้นของกลุ่มสาระศิลปะ 
- ห้องนาฏศิลป์ และ ดนตรีไทย-สากล
และ ชั้น 5 ห้องประชุมสุขุม-เมธ์วดี นวพันธ์



 โรงอาหาร อยู่ ชั้น 2 
เดินขึ้นมาก็จะเห็นเลย


สถานที่ต่างๆภายในโรงเรียน
ศาลาแดง เป็นมุมเด็ดเลยนะ
เพราะส่วนใหญ่จะมานั่งทำงานกันที่นี่แหละ


 สวนหย่อม


 สนามใหญ่  


 ทุกๆเย็นหลังเลิกเรียนนักฟุตซอลจะใช้ซ้อมบอล


 ตู้น้ำ


 ลานโดม เป็นสถานที่สำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬา 
เป็นแหล่งรวมกีฬาเลยก็ว่าได้



 ที่พักผู้ปกครอง นักเรียน


 สหกรณ์โรงเรียน


 แปลงเกษตร


 ป้อมยามหน้าโรงเรียน


ภาพที่มองจากชั้น 8
สวยใช่มั้ยล่ะ
มีต้นไม้เยอะดี รู้สึกสดชื่น ร่มลื่น ^^




ขอจบการนำเสนอไว้แค่นี้นะค้ะ 
แล้วพบกันใหม่ในบล็อคหน้า ^^

# ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ 

^^